Powered By Blogger

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ขาวเร่งด่วน การนอนหลับเพียงพอทำให้ตัวขาว

นอนหลับก็เป็นอีกหนึ่งวิธีทำให้ผิวขาว




             การนอนหลับให้เพียงพอก็เป็นอีกหนึ่งวิธีทำให้ผิวขาวเร็ว หน้าเนียนกระจ่างใส อย่างธรรมชาติ โดยควรนอนหลับอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมง เพราะการนอนหลับสนิทจะทำให้ร่างกายสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้อย่างดี โดยช่วงที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือช่วง 23.00-01.00 น. ดังนั้นเราจึงไม่ควรนอนดึก ควรเข้านอนสักสี่ทุ่มกำลังดี เพราะกว่าเราจะหลับสนิทก็น่าจะช่วงห้าทุ่มพอดีและถ้าจะให้ดีก่อนนอนควรทาน ผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น กล้วย แอปเปิ้ล อินทผลัมหรือโยเกิร์ตก็ได้ เพราะมันจะมีส่วนผสมของกรดอะมิโนโทรปีน ที่มีผลทำให้สมองหลั่งสารเซโรโทนิน(สารที่ทำให้จิตใจสงบและทำให้หลับสนิท) ทำให้ร่างกายของเราสามารถซ่อมแซมผิวและดูดซับสารบำรุงต่างๆ จากครีมที่เราได้ทาไปช่วงก่อนนอนได้ดีขึ้นและทำให้ผิวเราเปล่งปลั่งอีกด้วย




ที่มาของเนื้อหา http://www.n3k.in.th/ผิวขาว-ผิวสวย/วิธีทำให้ผิวขาวใส

ที่มาภาพ http://www.namsomhp.com/web/index.php/health/51-sleeppos

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หน้าใสด้วยวิตามินซี

 
 
oranges-juice
 
           




ิ           อาหารเสริมตัวนี้อาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องสิวโดยตรงแต่ก็สามารถช่วยได้เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะช่วยเรื่องผิวพรรณของเรา และประโยชน์เรื่องภูมิต้านทานโรคต่างๆและเชื้อโรค ประโยชน์ของอาหารเสริมวิตามินซีสำหรับคนเป็นสิวคือ ช่วยให้รอยดำจางเร็วขึ้นและช่วยให้ผิวที่เป็นสิวเนียน เรียบขึ้น

หน้าที่ต่าง ๆ ของวิตามินซีมีดังนี้
-รักษาบาดแผล
-รักษาระดับคอลลาเจน (อันเป็นสิ่งสำคัญของความแข็งแรงของหลอดเลือด, เหงือก และความยืดหยุ่นของผิว
-ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมธาตุเหล็ก
-มีสำคัญในการช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างสมบูรณ์ และต่อต้านการติดเชื้อต่างๆ
-ช่วยขับสารพิษและสารเคมีที่เป็นพิษออกจากร่างกายทางการขับถ่าย
-เป็นส่วนประกอบสำคัญของฮอร์โมนที่อยู่ในไต ที่ทำให้ร่างกายสามารถอดทนต่อความเครียด
วิตามินซีนั้นเป็นหนึ่งในวิตามินหลาย ๆ ตัวที่รู้จักกันแพร่หลาย เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อร่างกายในการเผาผลาญ รวมถึงการซ่อมแซมและการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ วิตามินซีช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำบนผิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากว่ามีรอยดำจากสิว จากการศึกษาต่าง ๆ พบว่าวิตามินซีช่วยลดการสูญเสียคอลลาเจน และยังช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งช่วยป้องกันริ้วรอย เพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกัน และป้องกันการติดเชื้อด้วย

วิตามินซีนั้นมีประโยชน์ในการรักษาบาดแผลเนื่องจากวิตามินซีนั้นทำหน้าที่สร้างคอลลาเจน วิตามินซียังช่วยสร้างความต้านทานและความยืดหยุ่นในกับคอลลาเจนที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งทำให้เนื้อเยื่อใหม่สามารถยืดได้โดยไม่ฉีกขาด ดังนั้นความแข็งแรงและยืดหยุ่นของผิวนั้นเป็นปัจจัยสำคัญของการรักษาแผล
วิตามินซีนั้นรู้จักกันดีในแง่ของการป้องกันโรคลักปิดลักเปิดและการต้านอนุมูลอิสระ วิตามินซีช่วยป้องกันการถูกทำลายของเนื้อเยื่อในเซลล์และของเหลวในร่างกาย ซึ่งมีความสำคัญในการป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ ในลำไส้นั้นวิตามินซีจะปกป้องธาตุเหล็กไม่ให้เกิดปฎิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น

ขนาดรับประทาน
ผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป)
ตามคำแนะนำจาก U.S. Food and Nutrition Board of the institute of Medicine
ปริมาณที่ควรใช้สำหรับผู้ชายอายุ 18 ปีขึ้นไปคือ 90 มิลลิกรัมต่อวัน
สำหรับผู้หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไป ควรรับประทานที่ปริมาณ 75 มิลลิกรัมต่อวัน
หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไปและอยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ ควรรับที่ 85 มิลลิกรัมต่อวัน
หญิงอายุ 18 ปีขึ้นไปและอยู่ระหว่างการให้นมบุตร ควรรับที่ 120 มิลลิกรัมต่อวัน
ผู้ที่สูบบุหรี่ ซึ่งควรได้รับเพิ่มขึ้นอีก 35 มิลลิกรัมต่อวัน
*** ปริมาณมากที่สุดที่สามารถรับประทานได้คือไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ในผู้ชายและผู้หญิงอายุเกิน 18 ปีขึ้นไป (รวมถึงหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร)
ปริมาณการใช้สำหรับเด็ก (อายุต่ำกว่า 18 ปี)
เด็กอายุ 9-13 ปี ใช้ที่ปริมาณ 45 มิลลิกรัมต่อวัน และไม่ควรเกิน 1200 มก.ต่อวัน
เด็กชายอายุ 14-18 ปี ใช้ที่ปริมาณ 75 มิลลิกรัมต่อวัน และไม่ควรเกิน 1000 มก.ต่อวัน
เด็กหญิงอายุ 14-18 ปี ใช้ที่ปริมาณ 65 มิลลิกรัมต่อวัน
เด็กหญิงอายุ 14-18 ปี อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ ใช้ที่ปริมาณ 80 มิลลิกรัมต่อวัน
เด็กหญิงอายุ 14-18 ปี อยู่ในช่วงให้นมบุตร ใช้ที่ปริมาณ 115 มิลลิกรัมต่อวัน
ผลข้างเคียงและคำเตือน
วิตามินซีนั้นปกติแล้วจะปลอดภัยหากได้จากอาหาร อาหารเสริมวิตามินซีนั้นก็ปลอดภัยในปริมาณที่เหมาะสมกับแต่ละคน แม้ว่าผลข้างเคียงจะมีรายงานว่าเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน จุกเสียด ช่องท้องแข็ง และปวดหัว ฟันกร่อนก็อาจเกิดขึ้นได้ในรายที่เคี้ยววิตามินซีเม็ดเป็นประจำ
ปริมาณการใช้วิตามินซีสูง อาจเกิดผลข้างเคียงรุนแรงได้หลายประการ เช่น นิ่วในไต, ท้องร่วงรุนแรง คลื่นไส้ กระเพราะอาหารอักเสบ หน้าแดง เป็นลม วิงเวียน และอ่อนเพลีย การใช้ปริมาณมากเกินไปอาจทำให้เกิดเม็ดเลือดแดงตกตะกอน (เซลล์เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย) และผู้ที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคเก๊าท์ กรวยไตอักเสบ หรืออาการกำเริบในเวลากลางคืนอันมีผลมาจากโรคไต และทางเดินปัสสาวะ
การตั้งครรภ์ และการให้นมบุตร
การรับวิตามินซีจากอาหารในขณะตั้งครรภ์นั้นเป็นสิ่งที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีผลที่แน่ชัดว่าการรับประทานวิตามินซีเสริมในปริมาณที่มากกว่าที่DRI แนะนำนั้นปลอดภัยหรือมีประโยชน์หรือไม่ มีรายงานของการเป็นลักปิดลักเปิดจากการรับประทานในปริมาณสูงมาเป็นเวลานาน ๆ เช่นในเด็กทารกที่เกิดจากแม่ที่รับประทานวิตามินซีสูงมากเป็นพิเศษในขณะตั้งครรภ์ ข้อมูลอันน้อยนิดนั้นไม่สามารถบอกได้ว่าการเสริมวิตามินซีอย่างเดียว หรือร่วมกับอาหารเสริมอื่น ๆ นั้นมีประโยชน์ขณะตั้งครรภ์ การคลอดก่อนกำหนดอาจมีความเป็นไปได้สูงขึ้น
วิตามินซีในนมแม่นั้นถือได้ว่าปลอดภัย และมีผลวิจัยว่า วิตามินซีที่ได้จากนมแม่นั้นจะลดความเสี่ยงในการเป็นภูมิแพ้ของเด็กได้ ยังไม่มีผลที่แน่ชัดว่าการรับประทานวิตามินซีเสริมในปริมาณที่มากกว่าที่ DRI แนะนำนั้นปลอดภัยหรือมีประโยชน์หรือไม่
##เพิ่มเติม ข้อมูลจากกองโภชนาการ ประเทศไทย พ.ศ. 2546##
ปริมาณวิตามินซีอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันในผู้ใหญ่ ผู้ชายเท่ากับ 90 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้หญิง 75 มิลลิกรัมต่อวัน หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับวิตามินซีเพิ่มขึ้นอีก 35 มิลลิกรัมด้วย ปริมาณสูงสุดของวิตามิซีที่รับได้ในแต่ละวันไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัม
ขอขอบคุณ รูปภาพจากอินเตอร์เน็ตและ เว็บ http://www.acnethai.com

ลดสิวด้วยวิตามินอี






เป็นวิตามินอีกตัวที่รู้จักกันดีในเรื่องต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดริ้วรอย วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันเวลารับประทานจึงต้องใช้ความระมัดระวังกว่าวิตามินซีที่สามารถละลายในน้ำปกติได้ วิตามินอีช่วยเรื่องสิวยังไงลองมาอ่านกันดูนะครับ
 
วิตามินอี ช่วยป้องกันสิวอักเสบได้อย่างไร
วิตามินอีเป็นวิตามินที่หากขาดไปก็ไม่ได้ทำให้เป็นโรคใด ๆ แต่จำนวนเล็กน้อยของวิตามินอีนั้นให้ประโยชน์สูงแก่ระบบภูมิคุ้มกันในการต้านอนุมูลอิสระ เพื่อปกป้องเยื่อบุผิวจากการถูกทำลาย ขัดขวางการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในคนที่เป็นสิว ดังนั้นการรับประทานวิตามินอีจึงมีส่วนช่วยให้อาการสิวดีขึ้น อาจถือได้ว่าเป็นวิตามินตัวหนึ่งในร่างกายที่ทำงานหนักมาก ช่วยปกป้องเส้นประสาท ปอด และหัวใจจากการถูกทำลายจากปฎิกิริยาทางเคมีต่าง ๆ หน้าที่เหล่านี้สำคัญมาก และยังช่วยให้อาการสิวหมดไปได้
รูปแบบของวิตามินอีมีทั้งหมด 8 ชนิด แบบที่ให้ผลต่อร่างกายดีมากที่สุดคือ อัลฟ่า-โทโคฟีรอล
ความเกี่ยวเนื่องระหว่างสิวกับวิตามินอี
สิวที่เกิดขึ้นก็มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือสภาพแวดล้อม วิตามินอีช่วยป้องกันสิวโดยการต้านอนุมูลอิสระ มีหลาย ๆ คลินิกที่ได้ตรวจสอบหาความกระจ่างของความสัมพันธ์ระหว่างสิวกับวิตามินอี ตัวอย่างเช่น Journal of Investigative Dermatology ได้ศึกษาว่าวิตามินอีช่วยป้องกันการอุดตันของน้ำมันในรูขุมขนจากการหมักหมมและจับตัวเป็นก้อน เป็นโอกาสน้อยที่จะอักเสบ อย่างไรก็ดีวิตามินอีสามารถซึมเข้าถึงชั้นผิว ฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้รูขุมขนไม่อุดด้วยน้ำมัน โดยวิตามินอีสามารถทำให้น้ำมันไหลออกชั้นผิวภายนอกได้ ทำให้น้ำมันไม่อุดตัน จึงไม่เกิดสิว ได้มีการวิจัยเปรียบเทียบระดับวิตามินอีในเลือด โดยอาสาสมัคร 100 คน ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี พบว่าอาสาสมัครกลุ่มที่มีระดับวิตามินอีในเลือดสูงกว่าไม่ค่อยเป็นสิว จากการค้นพบดังกล่าว และการทดสอบ ทำให้สรุปได้ว่าระดับวิตามินอีในเลือดต่ำมีโอกาสเป็นสิวได้มาก
ขนาดรับประทาน
ผู้ใหญ่ (อายุ 18 ปีขึ้นไป)
ทั่วไปเข้าใจว่าได้รับปริมาณวิตามินอีเพียงพอจากอาหารต่าง ๆ ผู้ที่ควบคุมอาหาร หรือมีปัญหาลำไส้ทำงานไม่ปกติ ก็อาจต้องการอาหารเสริม ปริมาณวิตามินอีที่แนะนำต่อวันมีหน่วยที่เรียกว่า Alpha-tocopherol Equivalent (ATE) ซึ่งเสมือนกับค่า Internation Units (IU) ที่ฉลากอาหารเสริมนิยมใช้กัน ตามค่าที่กล่าวข้างต้น 1 มิลลิกรัม ATE = 1.5 IU
หญิงตั้งครรภ์ทุกวัย 15 มิลลิกรัม (หรือ 22.5 IU)
สำหรับหญิงให้นมบุตรทุกวัย 19 มิลลิกรัม (หรือ 28.5 IU)
สำหรับผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไป สามารถใช้ได้ที่ปริมาณสูงสุดต่อวันคือ 1,000 มิลลิกรัม (หรือ 1,500 IU) แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
เด็ก (อายุต่ำกว่า 18 ปี)

เด็กอายุ 9-13 ปี ที่ 11 มิลลิกรัมต่อวัน (16.5 IU) ไม่ควรเกิน 600 มก. (900 IU)
เด็กอายุ 14-18 ปี รับที่ 15 มิลลิกรัมต่อวัน (22.5 IU) ไม่ควรเกิน 800 มก. (1,200 IU)
หญิงตั้งครรภ์ทุกวัย 15 มิลลิกรัม (หรือ 22.5 IU)
สำหรับหญิงให้นมบุตรทุกวัย 19 มิลลิกรัม (หรือ 28.5 IU)
ผลข้างเคียงและคำเตือน
มีรายงานว่าการใช้วิตามินอีในปริมาณสูงเป็นประจำอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเสียชีวิตในอัตราที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย การใช้วิตามินอีต่อเนื่องเป็นประจำควรใช้ด้วยความระมัดระวัง และควรหลีกเลี่ยงการใช้ในปริมาณสูง ในการใช้ระยะสั้น ๆ นั้นปลอดภัยหากใช้ในปริมาณที่กำหนด อย่างไรก็ดี วิตามินอีนั้นอาจเป็นอันตรายได้หากกินในปริมาณมากเกินกำหนด การรับวิตามินอีทางอาหารนั้นก็เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประโยชน์เช่นกัน
การตอบสนองของผิวเช่น อาการผิวอักเสบ และเรื้อนกวาง สามารถบรรเทาได้โดยวิตามินอี เช่น ขี้ผึ้ง
ในกรณีที่มีอาการไม่มาก การเสริมวิตามินอีมากเกินอาจมีผลทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อวัยวะภายในทำงานไม่ปกติ ไตทำงานไม่ปกติ หรือมีไข้
อาจเพิ่มความเสี่ยงของการตกเลือด เกิดจากการขัดขวางการทำงานของเกล็ดเลือด ทำให้วิตามินเคไม่สามารถทำงานได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ขาดวิตามินเค) อาจทำให้เลือดออกที่เหงือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ใช้แอสไพรินร่วมด้วย และเพิ่มอัตราเสี่ยงมากขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ warfarin (Coumadin®) อาการเลือดออกในผู้ป่วยนั้นเกิดขึ้นในรายที่ใช้ปริมาณสูงเกินติดต่อกันของ rac-alpha-tocopherol (เป็นวิตามินอีสังเคราะห์) จะต้องมีคำเตือนให้กับผู้ใช้ที่มีประวัติเลือดออกง่าย หรือใช้ยาที่เพิ่มความเสี่ยงของการทำให้เลือดออกง่ายขึ้น และต้องใช้ในปริมาณถูกต้อง
ในบางรายมีอาการวิงเวียน เพลีย อ่อนเพลีย สายตาพร่ามัว เมื่อใช้ในปริมาณมากเกิน ควรหลีกเลี่ยงในรายที่มีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น การรับประทานวิตามินอีต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็นได้ในทันที
การตั้งครรภ์และให้นมบุตร
วิตามินบำรุงสำหรับหญิงตั้งครรภ์หลาย ๆ ตัวมีส่วนประกอบของวิตามินอีในปริมาณน้อย วิตามินอีในรูปของธรรมชาติจะดีกว่าในรูปของการสังเคราะห์ การใช้วิตามินอีในปริมาณมากนั้นไม่แนะนำสำหรับหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ไม่ว่าจะเป็นโดยการกินหรือฉีดก็ตาม
##เพิ่มเติม ข้อมูลจากกองโภชนาการ ประเทศไทย พ.ศ. 2546##
ปริมาณวิตามินอีอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับทารกเท่ากับ 4-5 มิลลิกรัมต่อวัน เด็กอายุ 1-8 ปี เท่ากับ 6-7 มิลลิกรัมต่อวัน วัยรุ่นอายุ 9-18 ปี ชายและหญิงเท่ากับ 15 มิลลิกรัมต่อวันตามลำดับ หญิงให้นมบุตร ควรได้รับวิตามินอีเพิ่มขึ้นวันละ 4 มิลลิกรัม

ขอขอบคุณ ภาพจาก อินเตอร์เน็ต และ เว็บ http://acnethai.com

ขัดผิวด้วยใยบวบ






c20018020afeca043565827e08a48259

 

 

เคล็ดลับผิวสวย ด้วย "ใยบวบขัดผิว" "ใยบวบขัดตัว"

ในบรรดาผู้หญิงอย่างเราๆ อาจจะรู้จัก ใยบวบขัดผิว หรือ บวบขัดตัว กันเป็นอย่างดี แต่เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) เชื่อว่า ยังมีคุณผู้หญิงอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่รู้จัก ใยบวบขัดผิว หรือ ใยบวบขัดตัว นี้ค่ะ แต่คุณผู้หญิงทราบบ้างหรือไม่ค่ะว่า ใยบวบขัดผิว หรือ ใยบวบขัดตัว นี้มีประโยชน์มากมายที่จะช่วยให้คุณผู้หญิงสามารถมีผิวที่สวยและสุขภาพดีขึ้นได้นะค่ะ และวันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็นำเคล็ดลับของ ใยบวบขัดผิว หรือ ใยบวบขัดตัว มาฝากคุณผู้หญิงทุกท่านกันอีกด้วยค่ะ โดยปกติแล้วผิวพรรณคนเรานั้นจะมีการผลัดเซลล์ผิวทุกๆ 2-4 สัปดาห์ แต่หากว่าคุณผู้หญิงมีอายุที่เกินกว่า 20 ปีขึ้นไปแล้ว การผลัดตัวของเซลล์ผิวพรรณจะช้าลงซึ่งนั้นทำให้เกิดริ้วรอยและความหมองคล้ำที่ผิวพรรณ ฉะนั้นแล้วการขจัดเซลล์ผิวเก่าๆ ที่ตายแล้วออกไปจะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ผิวพรรณขาวใสขึ้น ฉะนั้นแล้วลองหันมาใช้ ใยบวบขัดผิว หรือ ใยบวบขัดตัว ไปพร้อมๆ กับเคล็ดลับความงามที่เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) นำมาฝากกันดีกว่าค่ะ เพราะว่าใน ใยบวบขัดผิว หรือ ใยบวบขัดตัว มีดีกว่าที่คุณคิดนอกจาก ใยบวบขัดผิว หรือ ใยบวบขัดตัว จะช่วยให้ผิวพรรณสะอาดหมดจดแล้ว ยังช่วยในเรื่องของการอุดตันสิวของสิวอีกทั้งยังทำให้การไหลเวียนของเลือดในร่างกายดีขึ้น ผิวพรรณสดใส เปล่งปลั่ง ผิวสุขภาพดีอีกด้วยค่ะ ที่สำคัญ ใยบวบขัดผิว หรือ ใยบวบขัดตัว ยังเป็นสิ่งที่มาจากธรรมชาติซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสามารถย่อยสลายได้ไม่เป็นมลภาวะของโลกด้วยน๊า...
ใยบวบขัดผิว ใยบวบขัดตัว

"ใยบวบขัดผิว" "ใยบวบขัดตัว"

- แล้วรู้ไหมว่าใยบวบมาจากไหน?

"ใยบวบขัดผิว" "ใยบวบขัดตัว" มักทำมาจากบวบหอมหรือ Smooth loofah มีผลอ่อนสีเขียวมีลายเขียวเข้ม ผลแก่สีเขียวออกเหลืองจนถึงสีน้ำตาลมีเส้นใยเหนียวลักษณะเป็นร่างแห ผลอ่อนใช้รับประทานสดสามารถนำมาทำอาหารได้หลากหลายชนิด เช่น แกงเลียงบวบ บวบผัดไข่ มีสรรพคุณแก้ร้อนใน ลดไข้ ขับน้ำนม ขับปัสสาวะ แก้เลือดออกตามทางเดินอาหาร แก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ส่วนของผลแก่สามารถนำเส้นใยมาขัดถูตัวเพื่อผิวพรรณที่เนียนนุ่มขึ้นค่ะ

- สูตรสครับผิวด้วย "ใยบวบขัดผิว" "ใยบวบขัดตัว"

1. นำมะขามเปียก 1 ถ้วยตวง มาทาให้ทั่วบริเวณผิวที่ต้องการขัดให้ทั่วทิ้งไว้สักครู่ จากนั้นนำใยบวบแช่น้ำจนนุ่มแล้วมาขัดเป็นวงกลมอย่างเบามือประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกผิวจะใสและนุ่มขึ้น
2. นำเกลือผสมกับน้ำมันมะกอกผสมให้เข้ากันแล้วเติมน้ำมะนาวลงไป จากนั้นนำมาชโลมผิวทิ้งไว้สักครู่นำใยบวบที่อ่อนนุ่มขัดเบาๆ แล้วล้างออก ผิวจะสะอาดหมดจดและใสขึ้นเมื่อทำเป็นประจำ เนื่องจากเกลือสามารถผลัดเซลล์ผิวเก่าออกได้ น้ำมันมะกอกช่วยให้ผิวชุ่มชื้น น้ำมะนาวจะทำให้ผิวใสขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูล
ผิวสวยจาก sabai ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต



กระชับรูขุมขน

 

 

55534_002

 

วิธีการกระชับรูขุมขนบนใบหน้า "เพื่อผิวสวย เรียบเนียน"

เป็นทริคเพื่อผิวสวยที่น่าสนใจจริง ๆ สำหรับวิธีการกระชับรูขุมขนบนใบหน้า ผิวหน้าเนียน รูขุมขนเล็กกระชับ เป็นใบหน้าที่่สาว ๆ นับร้อยต่างใฝ่ฝัน สาว ๆ บางคนอาจจะดีที่แต่งหน้าให้ดูเนียสวยได้ แต่ก็ยังมีบางคนที่ดีกว่านั้นคือ ไม่แต่งเลยก็ยังดูดี แต่ก็ยังมีสาว ๆ อีกจำนวนไม่น้อยที่มีอุปสรรคผิวไม่เรียบเนียบรูขุมขนไม่กระชับและก็ยังรู้สึกว่า วิธีดูผิวให้สวยใสกลายเป็นเรื่องที่สุดแสนจะยุ่งอยากมาก ๆ วันนี้เราก็เลยนำเอา วิธีการกระชับรูขุมขนบนใบหน้า มาฝากกันค่ะ สำหรับ วิธีการกระชับรูขุมขนบนใบหน้า มีอยู่ด้วยกัน 9 วิธีง่าย ๆ ถ้าสาว ๆ คนไหนที่พร้อมแล้วก็ไปลองทำตาม 9 วิธีการกระชับรูขุมขนบนใบหน้า ที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวของคุณเองได้ที่บ้านเลยค่ะ แล้วปัญหาที่แสนจะยุ่งอยากก็จะไม่อยู่กวนใจคุณอีกต่อไป ถ้าพร้อมสวยแบบประหยัดกับ 9 วิธีเพื่อผิวสวยที่สุดแสนจะง่ายแล้วก็เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมแล้วลุยกันเลยจร้า

9 วิธีการกระชับรูขุมขนบนใบหน้า

1. รักษาความสะอาด

การรักษาความสะอาดของผิวหน้าเป็นวิธีพื้นฐานสุด ๆ แต่กลับสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ในการทำให้รูขุมขนดูเล็กลงและกระชับขึ้น การทำความสะอาดผิวหน้าเป็นการกำจัดความมันส่วนเกินและสิ่งสกปรกที่มักเข้าไปอุดตันรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้รูขุมขนดูกว้างและทำให้ผิวหน้าไม่เรียบค่ะ

2. ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง

ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ในเวลาเช้าหนึ่งครั้งและอีกครั้งในตอนเย็นเพื่อเป็นการชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากผิวหน้า โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่ไม่ทำให้หน้าแห้งตึงและผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรเย็น นอกจากจะช่วยคืนความสดชื่นแล้วยังทำให้รูขุมขนดูกระชับด้วย

3. ไม่เข้านอนทั้งที่ยังแต่งหน้าอยู่

ไม่ว่าจะเหนื่อยหนักขนาดไหนห้ามเข้านอนทั้ง ๆ ที่ยังมีเครื่องสำอางอยู่บนผิวหน้าเป็นอันขาด หากเข้านอนทั้งที่ยังไม่ล้างเครื่องสำอางให้เรียบร้อยนอกจากจะทำให้เครื่องสำอางลงไปอุดตันรูขุมขนได้ง่ายแล้วยังทำให้ผิวหน้าดูไม่สดชื่นเมื่อยามตื่น และหากทำเป็นประจำจะทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ ดูแก่กว่าวัย เกิดเป็นผลเสียต่อผิวหน้าในระยะยาวด้วย ผิวหน้าที่หนักจากเครื่องสำอางที่แต่งลงไปทั้งวันย่อมต้องการพักผ่อนและหายใจบ้างจึงต้องเช็ดเครื่องสำอางและล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้งก่อนนอนค่ะ

4. สครับผิว

การสครับผิวเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยทำความสะอาดรูขุมขนได้เป็นอย่างดีในหนึ่งสัปดาห์ควรสครับผิวให้ได้ 1-2 ครั้ง การสครับผิวเป็นการกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และสิ่งสกปรกที่อยู่ที่ผิวชั้นนอกซึ่งมีโอกาสเข้าไปอุดตันรูขุมขนให้หลุดออกไปนอกจากนี้ยังช่วยเผยผิวข้างใต้ที่สดใสให้ขึ้นมาแทนที่ด้วยค่ะ
วิธีการกระชับรูขุมขนบนใบหน้า

5. มาส์กหน้า

สาว ๆ หลายคนมาส์กหน้าหรือพอกหน้าเพื่อช่วยให้ผิวกระชับขึ้น โดยมาส์กนั้นก็มีให้เลือกใช้หลายสูตรซึ่งล้วนช่วยบำรุงผิวทั้งนั้น อย่างไรก็ตามต้องระวังมาส์กประเภทช่วยควบคุมความมันหรือโคลนพอกหน้าที่ช่วยดูดซับน้ำมันส่วนเกินออกจากผิวหน้า เพราะสำหรับมาส์กประเภทนี้หากทำบ่อยเกินกว่าสัปดาห์ละครั้งจะทำให้ผิวของคุณแห้งได้ง่ายค่ะ

6. มาส์กหน้าด้วยไข่ขาว

การมาส์กหน้าด้วยวิธีนี้ไม่จำเป็นต้องซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพงเพียงใช้ไข่ขาวในการมาส์กหน้าโดยทาไข่ขาวที่ใบหน้าและทาย้ำเป็นพิเศษบริเวณที่มีสิวเสี้ยน จากนั้นใช้กระดาษเช็ดหน้าแปะทับลงไป รีดให้ติดกับผิวหน้าทิ้งไว้ให้แห้งแล้วจึงลอกกระดาษไข่ขาวดึงสิวเสี้ยนและสิ่งสกปรกออกมาจากรูขุมขนทำให้รูขุมขนกระชับขึ้นได้ นอกจากนี้โปรตีนในไข่ขาวยังช่วยบำรุงผิวและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทั้งยังช่วยดูดซับความมันส่วนเกินบนผิวหน้าได้อีกด้วย

7. มาส์กหน้าด้วยมะเขือเทศ

มาส์กมะเขือเทศเป็นอีกสูตรมาส์กที่ทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองที่บ้าน เพียงฝานมะเขือเทศเป็นแผ่นบาง ๆ คัดเมล็ดออกแล้วแปะไว้ให้ทั่วผิวหน้าหรือจะบดแต่เนื้อมะเขือเทศแล้วใช้อกหน้าไว้ก็ได้ กรด AHA วิตามินเอและซี ในมะเขือเทศจะช่วยทำความสะอาดรูขุมขนทำให้หน้ากระจ่างใสและยังมีสารที่ช่วยกระชับรูขุมขนได้ด้วย

8. ใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยน

แผ่นลอกสิวเสี้ยนเป็นอีกทางหนึ่งที่ทำให้คุณมีผิวที่สะอาดขึ้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว กาวเหนียว ๆ ที่ค่อย ๆ แข็งตัวจะจับเอาสิ่งสกปรกที่อุดตันในรูขุมขนออกมาทำให้รูขุมขนดูเล็กลงทันตาเลยทีเดียว แต่ข้อควรระวังคือห้ามใช้ถี่เกินไปเพราะจะทำให้ผิวบางและเป็นการรบกวนผิวมากเกินไปได้เช่นกัน

9. ใช้ครีมสำหรับลดกระชับรูขุมขน

ปัจจุบันนี้มีครีมสำหรับกระชับรูขุมขนให้เลือกใช้มากมายลองเลือกใช้แบบที่เหมาะกับผิวหน้าของคุณ ส่วนใหญ่คนที่มีรูขุมขนกว้างมักจะเป็นคนผิวมันเพราะฉะนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์กระชับรูขุมขนที่มีเนื้อบางเบาหรือแบบเนื้อเจลเพื่อให้ซึมซับง่ายและไม่ทิ้งความมันส่วนเกินไว้บนใบหน้า โดยใช้ทุกครั้งหลังจากล้างหน้าหรืออาบน้ำซึ่งเป็นเวลาที่รูขุมขนเปิดและผิวหนังจะซึมซับครีมบำรุงได้ดีที่สุดค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก lisa ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต

ผิวขาวด้วยสมุนไพร





 






ใบหน้า เป็น สิ่งแรกที่ผู้หญิงทุกคนหวงแหน เพราะใบหน้าถือเป็นด่านแรกที่จะดึงดูดผู้พบเห็นได้ แต่หลายๆคนกำลังประสบปัญหาผิวหน้าไม่เรียบสวย เพราะเม็ดสิวและรอยแห้งกร้านด้วยจุดด่างดำของกระและฝ้า จนต้องเสียเงินทองมากมายเพื่อเข้าสถานเสริมความงาม หรือหาซื้อยามารักษา จึงอยากแนะนำให้ใช้สมุนไพรพืชผักและผลไม้ที่มีอยู่ทั่วไป แต่มีคุณประโยชน์มากมายทั้งวิตามิน แร่ธาตุ และสารบำรุงผิวธรรมชาติที่ช่วยดูแลผิวพรรณให้ชุ่มชื้นผ่องใสอ่อนไวอยู่เสมอ ไปดูกันเลยดีกว่าว่ามีอะไรกันบ้าง?

1. ว่านหางจระเข้ (Aloe indica Royle)

     คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางหลายอย่าง ที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึม ทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ฉะนั้น ว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้ เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่า ว่านหางจระเข้มีส่วนช่วย ให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย
     การใช้ว่านหางจระเข้ เพื่อบำรุงผิว โดยปอกเปลือกออก ใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใส ที่อยู่ภายใน ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบว่า ตนเองจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาว ของว่านหางจระเข้ ทาตรงบริเวณโคนหู แล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดง แสดงว่าแพ้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวหน้าอีกต่อไป ถ้าไม่มีอาการแพ้ ก็สามารถใช้ได้ตลอด แต่บางคนก็จะเห็นผลได้เหมือนกัน เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว จะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว
     นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังสามารถลดความแห้งกร้าน และลดความมันของผิวหน้าได้ โดยคนที่มีผิวมัน ก็จะช่วยให้ลดความมัน คนที่มีผิวหน้าแห้ง ก็ยังรักษาความชุ่มชื่นของผิวไว้ได้
สรรพคุณ บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว
ส่วนผสม ว่านหางจระเข้
วิธีทำ เลือกใบจากต้นว่านหางจระเข้ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยเลือกใบล่างสุดซึ่งจะอวบโต มีวุ้นมาก นำมาแช่น้ำเพื่อล้างยางเหลืองๆ ออกให้หมด(ยาง เหลืองมีฤทธิ์ระคายเคืองผิว ทำให้แสบร้อน เป็นผื่นแดง) จากนั้นปอกเปลือกออก แล้วเอาวุ้นที่ได้ล้างน้ำให้สะอาดอีกทีหนึ่ง นำวุ้นไปปั่นหรือใช้มือขยำ ก็จะได้เจลว่าน หางจระเข้ การใช้ว่านหางจระเข้สดได้ผลดีกว่าผลิตภัณฑ์แปรรูป ซึ่งจะมีปัญหาการคงตัวเมื่อถูกความร้อน
วิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้ง แล้วใช้เจลพอกทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตาและรอบปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก สูตรนี้เหมาะ สำหรับคนผิวมันสำหรับคนผิวแห้ง ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้เดี่ยว ๆ ควรเติมน้ำมันมะกอกกับไข่แดง ตีให้เข้ากัน แล้วจึงพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด
หมายเหตุ ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้กับสิวหัวหนอง เพราะฟิล์มจากว่านจะทำให้สิวหายช้า

2. งา (Sesamum indicum Linn. S. orientle. L)เป็นพืชล้มลุก ให้เมล็ดเป็นจำนวนมาก เมล็ดงามีทั้งสีดำ และสีขาว ในเมล็ดงามีน้ำมันอยู่ ประมาณ 45-54% น้ำมันงามีกลิ่นหอมน่ารับประทาน วิธีใช้ โดยการนำเอาเมล็ดงาสด มาบีบน้ำมันงาออก โดยไม่ผ่านความร้อน ใช้ทาผิวหนัง เพื่อบำรุงผิวพรรณ ให้ผุดผ่อง ช่วนประทินผิวให้นุ่มนวล ไม่หยาบกร้าน


3. แตงกวา (Cucumis sativas Linn.)

จะมีวิตามินสูง ในผลแตงกวายังมีเอ็นไซม์ cryssin ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนได้ เอ็นไซม์ชนิดนี้ จะช่วยย่อยผิวหนังที่หยาบกร้าน ให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่ม เกิดขึ้นมาแทนที่ บางคนใช้แตงกวาสด ผ่าเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาด แทนน้ำแตงกวา ปัจจุบันมีน้ำแตงกวาผสมในเครื่องสำอาง เช่น ครีมล้างหน้า ครีมทาตัว เพื่อช่วยให้ผิวไม่หยาบกร้าน และช่วยสมานผิว แตงกวาเป็นสมุนไพร ที่หาง่าย มีประโยชน์ ราคาถูก ใช้ติดต่อกับเป็นประจำ จะทำให้สวนสดชื่น มีน้ำมีนวล
สรรพคุณ สมานผิว ลบรอยเหี่ยวย่น
ส่วนผสม  แตงกวา 1 ผล
              ไข่ขาวจากไข่ไก่ 1 ฟอง
               น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
วิธีทำ ปอกเปลือกแตงกวาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นำไปปั่นให้ละเอียด เติมไข่ขาวและน้ำมะนาวปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้ครีมพอกหน้าแตงกวา
วิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง ใช้ครีมแตงกวาพอกให้ทั่วหน้า ยกเว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ 20 นาทีล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้เหมาะ กับคนผิวมัน สำหรับคนผิวแห้ง ให้นำแตงกวาไปตุ๋นจนเละแล้วกรองเอาเฉพาะน้ำมาทาหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด
4. มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum Mill.)

ในมะเขือเทศ จะมีสาร Curotenoid และมีวิตามินหลายชนิด น้ำจากผลมะเขือเทศสุก จะมีสาร licopersioin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และแบคทีเรีย และน้ำมะเขือเทศสดนำมาพอกหน้าจะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหน้าก็ได้
สรรพคุณ สมานผิว ลดรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ
ส่วนผสม มะเขือเทศ 1 ผล
             รำข้าวหรือข้าวโอ๊ต  1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ นำมะเขือเทศไปปั่นหรือบดให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำผสมรำข้าวหรือข้าวโอ๊ตคนให้เข้ากัน
วิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้งพอกครีมมะเขือเทศทิ้งไว้นานเท่าที่มีเวลาแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ในมะเขือเทศมีวิตามินเอมาก ซึ่งเป็น วิตามินที่ละลายได้ดีในน้ำมัน การใช้รำข้าวหรือข้าวโอ๊ตเป็นส่วนผสม เพื่อให้น้ำมันในรำข้าวหรือข้าวโอ๊ตเป็นตัวพาวิตามินเอเข้าสู่เซลผิวหน้าได้ดีกว่า การฝานมะเขือเทศมาแปะหน้าเพียงอย่างเดียว สูตรนี้ใช้ได้ทั้งคนผิวแห้งและผิวมัน
5. ขมิ้นชัน (Curcuma Longa Linn.)
ในขมิ้นจะมีสาร Curcumin และมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีกลิ่นเฉพาะ ขมิ้นมีฤทธิ์ยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราหลายชนิด ใช้ทาผิวที่มีผดผื่นคัน ผงขมิ้นใช้ทาตัว เพื่อให้มีสีเหลืองทอง ใช้บำรุงผิวและช่วยฆ่าเชื้อ ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิด ได้อีกด้วย
ส่วนผสม  ขมิ้นสด (เล็กน้อย)
              ดินสอพอง 2-3 เม็ด
             มะนาว 1 ผล
วิธีทำ นำขมิ้นสดมาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปั่นรวมกับดินสอพองและมะนาวจนละเอียด รวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้น และเหนียว นำมาพอกกับหน้าที่สะอาดก่อนเข้านอน โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกผิวหน้าสดชื่นและเต่งตึงขึ้นด้วย ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ภายในเวลาไม่ถึงเดือนจะสังเกตเห็นว่าผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงจนสามารถสังเกตได้
6. น้ำผึ้ง (Apis dorsata)
ได้จากผึ้ง ประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส ฟรุคโตส ขี้ผึ้ง อัลบูมินอยด์ ละอองเกสรดอกไม้ และฮอร์โมนเอสโตรเจน จำนวนเล็กน้อย น้ำผึ้งใช้เป็นส่วนประกอบ ของเครื่องสำอาง ใช้พอกหน้า ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติช่วยสมานผิว น้ำผึ้งเป็นเครื่องสำอางจากธรรมชาติ ที่ให้ประโยชน์สูง และหาง่าย นอกจากนี้ยังใช้น้ำผึ้งบำรุงผม ฮอร์โมนเอสโตรเจน จะช่วยบำรุงหนังศีรษะ และกระตุ้นการงอกของเส้นผม




7. มะขามเปียก (Tamarindus indica Linn)

มะขามเปียกมีประวัติการใช้มายาวนาน ช่วยชำระสิ่งสกปรกจากผิวหนัง เพราะฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ ในมะขาม จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ปัจจุบัน ได้มีหญิงไทยจำนวนมาก ใช้มะขามเปียกผสมน้ำอุ่น และนมสดให้เข้ากันดี พอกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก ฝ่ามือ ที่มีรอยกร้านดำ และบริเวณรักแร้ ขาหนีบ เพื่อให้ผิวหนังที่เป็นรอยดำจางลง ทำให้ผิวขาวนุ่มนวลขึ้น และนมสดจะช่วยบำรุงผิว ให้นุ่มได้
สรรพคุณ บำรุงผิว ลบรอยเหี่ยวย่น ตีนกา
ส่วนผสม  มะขามเปียก  1 กำมือ
              นมสดรสจืด  3 ช้อนโต๊ะ
               น้ำผึ้ง  1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ มะขามเปียกแกะเม็ดเอารกออกแล้วล้างน้ำให้สะอาดผสมกับนมแล้วขยำให้เข้ากัน กรองด้วยผ้าขาวบางหรือกระชอนตาละเอียด เติมน้ำผึ้งคนให้เข้ากันก็จะได้ครีมมะขามเปียก ใส่ภาชนะมีฝาปิดเก็บไว้ในตู้เย็น
วิธีใช้ ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด ทาครีมมะขามเปียกทิ้งไว้ 10 นาที ล้างด้วยน้ำสะอาด สูตรข้างต้นนี้เหมาะกับคนผิวมัน ถ้าคนผิวแห้งให้ลดมะขามเปียก เพิ่มปริมาณนมสดกับน้ำผึ้งให้มากขึ้น
8. ใบบัวบก

นำใบบัวบกมาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆปั่นรวมกับน้ำสะอาดจนละเอียดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้นและเหนียวใช้สำหรับนำมาพอกกับหน้าที่สะอาดแล้วก่อนเข้านอนโดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะรู้สึกผิวหน้าสดชื่นและเต่งตึงขึ้นด้วยทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ภายในเวลาไม่ถึงเดือน ก้อค่อนข้างที่จะเห็นผลได้ชัดเช่นกานนน่ะ แล้วสามารถนำมารับประทานเป็นยารักษาอาการชำในได้อีกด้วยนะค่ะ
สูตรใบบัวบกลดรอยตีนกา
ส่วนผสม
                1. ใบบัวบก
                2.น้ำต้มสุก

วิธีทำ ใช้ใบบัวบกสดๆ ล้างให้สะอาด หั่นฝอยประมาณ 1/2 ถ้วย เติมน้ำต้มสุกนิดหน่อย นำไปปั่นให้เป็นน้ำข้นๆ กรองเอาแต่น้ำ
วิธีใช้  ใช้สำลีชุบทาทั่วใบหน้า หรือจะใช้สำลีแปะไว้ที่ผิวใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะช่วยบำรุงผิวหน้าให้เต่งตึงไร้ริ้วรอย เพราะใบบัวบกมีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินให้ทำงานได้ดีขึ้น




9.กล้วย
กล้วย ไม่ว่าจะกล้วยหอม กล้วยน้ำว้า ล้วนให้คุณค่าด้านสุขภาพกับเราทั้งสิ้น จะกินก็ได้ จะเอามาทำสวยก็ดี สำหรับสาวผิวแห้ง ผมแห้ง กล้วยเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการแก้ปัญหาได้
    สำหรับสาวผิวแห้ง กล้วยจะช่วยบำรุงให้ผิวชุ่มชื่นขึ้นได้ เพราะโปรตีนและไขมันตามธรรมชาติ ทั้งนี้ยังช่วยลบริ้วรอยด้วย ส่วนคนที่มีปัญหาผมและหนังศีรษะแห้ง กล้วยจะเสริมความเงางาม และยังทำให้ผมมีน้ำหนักดีขึ้น
    มาดูกันเลยว่า สูตรหน้าใส ด้วยกล้วยนั้น มีอะไรบ้าง
9.1 มาส์กผิวนุ่มชุ่มชื้น
ส่วนผสม กล้วยหอมสุก 1 ผล, น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ, ไข่ขาว 1 ฟอง, ดินสอพองบด 1 ช้อนโต๊ะ, โยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1.ตีไข่ขาว เทโยเกิร์ตและน้ำผึ้งลงไป ตามด้วยดินสอพอง คนให้เข้ากันจนเนื้อเนียนละเอียด
2.บดกล้วยหอมสุกจนเนื้อละเอียดเนียน แล้วลงผสมกับส่วนผสมในข้อ 1
    เมื่อได้ส่วนผสมเรียบร้อยแล้ว จากนั้นล้างหน้าให้สะอาด ทาส่วนผสมที่ได้บนใบหน้า คอ และไหล่ นวดเบา ๆ ให้ทั่ว ทาให้หนาพอควร ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำอุ่น (แต่ไม่อุ่นจัด)
    ทำเป็นประจำประมาณ 3-4 ครั้ง/สัปดาห์ ผิวหน้าจะดูนุ่มนวลและสดใสมากขึ้น
9.2.กล้วยน้ำว้าสบู่ถนอมผิวหน้า
สรรพคุณ : ช่วยทำความสะอาดผิดหน้าได้ดี ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้น
ส่วนผสม กล้วยน้ำว้า 2 ผล / มะนาว 1 ผล
วิธีผสม ปอกเปลือกกล้วยออกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆนำลงเครื่องปั่นบดให้ละเอียด นำมะนาวผ่าขวางแล้วคั้นเอาแต่น้ำเทลงในกล้วยที่บดเรียบร้อยแล้วคนให้เข้ากัน
วิธีใช้   ใช้น้ำสะอาดลูบหน้าพอให้เปียก ทาสบู่กล้วยถนอมผิวที่เราทำไว้ทาให้ทั่วหน้าพักไว้ 3-5 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะรู้สึกว่าหน้าสะอาดมากและไม่แห้งตึง
9.3. กล้วยน้ำว้าครีมพอกหน้า
สรรพคุณ:บำรุงผิวให้เนียนขาวลดริ้วรอยความเหนื่อยล้า
ส่วนผสม กล้วยสุก 2 ผล/น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ/ น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ/น้ำสะอาดเย็นจัด 1 ขัน
วิธีผสม ปอกเปลือกกล้วยออกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆนำลงเครื่องปั่นบดให้ละเอียด นำน้ำมะนาวและน้ำผึ้งเทลงไปปั่นผสมกันให้เป็นเนื้อเดียวสังเกตุถ้าเนื้อครีมเริ่มฟูก้อใช้ได้
วิธีพอกหน้า ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดซับหน้าให้แห้งทาครีมกล้วยน้ำว้าที่ทำไว้ทาให้ทั่วใบหน้ายกเว้น ดวงตาและขอบจมูก พอกทิ้งไว้ประมาน 20-30 นาทีล้างออกด้วยน้ำเย็นจัด 
ควรพอกตรีมกล้วยอาทิตละครั้ง ใบหน้าจะนุ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
9.4.กล้วยไข่ไร้สิว
สรรพคุณ ช่วยสมานผิว ขจัดสิวเสี้ยน
ส่วนผสม กล้วยไข่ 2 ผล / ไข่ไก่เฉพาะไข่ขาว 1 ฟอง / น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ/น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีผสม นำกล้วยไข่ปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วใส่ลงในโถปั่นใส่ไข่ขาวปั่นจนละเอียดแล้วยกลง พักสักครู่ แล้วใส่น้ำผึ้งและน้ำตาลทรายแดงตามลงไป คนให้เข้ากันอย่างช้าๆ
วิธีใช้ นำครีมพอกให้ทั่งหน้าเว้นดวงตาใช้นิ้วค่อยๆถูนวดเบาๆ วนทวนเข็มนาฬิกาอย่างช้าๆทำอย่างนี้ประมาน1-2นาทีแล้วทิ้ไว้สักคู่จนรู้สึกตึงจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดเราจะสึกถึงความสะอาดมากเลย
***ความงามของหญิงไทย ย่อมคู่กับสมุนไพรไทย รับรองว่าสาวเกาหลี ที่ว่าแน่ๆ ยังต้องชิดซ้ายให้เรา(เวอร์ไปไหมเนี่ยเรา) ถ้ายังไงก็ลองไปใช้กันดูนะคะ
ขอขอบคุณที่มาและภาพประกอบจาก : www.never-age.com , http://dek-d.com/board/ ,antaom ,http://www.oknation.net/blog/moobingang
ภาพประกอบบางส่วนจากอินเตอร์เน็ต

ผิวขาวใสด้วยมะขามเปียก


displayImg6a58c426a9





สรรพคุณของมะขาม




มะขามเปียก ประโยชน์ ด้านความงาม - สูตรขัดตัวช่วยให้ผิวขาวขึ้น, สูตรช่วยให้ผิวหน้าขาวชุ่มชื่น, สามารถ ช่วยให้ ผิวหน้า แขน ตัว ดำ ช่วยให้ขาวขึ้น, สามารถ ช่วยให้ ผิวหน้าสดชื่น เต่งตึง, สูตรช่วยลดริ้วลอยรอบดวงตา
มาเพิ่มผิวพรรณให้ขาวใสปิ๊งๆ ๆ ๆ กันอีกสักหน่อยด้วยสูตรขัดผิวด้วยมะขามเปียกกันค่ะ สำหรับสูตร ขัดผิวด้วยมะขามเปียก นี้จะช่วยให้ผิวพรรณที่ดำคล้ำหรือดำเสียกลับมาขาวใสขึ้นกันอีกครั้ง ในสูตร ขัดผิวด้วยมะขามเปียก นี้นอกจากจะช่วยให้คุณนั้นขาวขึ้นแล้ว เอ็นไซน์ในมะขามเปียกยังมีส่วนช่วยลดความหยาบกร้านของผิวลงได้อีกเยอะเลย และไม่เพียงเท่านั้นยังช่วยในเรื่องของการขจัดจุดด่างดำต่าง ๆ ในร่างกายได้อีกด้วย เห็นความดีของ สูตรขัดผิวด้วยมะขามเปียก นี้กันแล้วใช่ไหมล่ะค่ะ ชักอยากจะเริ่มปฏิบัติการขัดผิวกันแล้วใช่ไม่จ๊ะสาวๆ นั้นเราก็มาเริ่มสูตรขัดผิวด้วยมะขามเปียกเพื่อผิวขาวใสไร้ความหม่องคล้ำกันเลยดีกว่าค่ะ

สูตร ขัดผิวด้วยมะขามเปียก

1. เตรียมส่วนผสมให้พร้อมเริ่มด้วย มะขามเปียก 1 กำมือ นมสด 1 แก้วอุ่นแล้ว น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ (ถ้ามี ถ้าไม่มีเว้นไว้)
2. นำนมสดที่อุ่นแล้วมาผสมกับมะขามเปียกแล้วขยัมให้เข้ากันจะข้นๆ หน่อย หลังจากเข้ากันดีแล้วให้เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนคนให้เข้ากัน
3. อาบน้ำให้สะอาดเช็ดตัวให้แห้งแล้วนำ สูตรขัดผิวด้วยมะขามเปียก ที่เราได้ทำไว้แล้วมาทำการขัดและพอกผิวอย่างเบามือ จากนั้นทิ้งไว้สัก 10-20 นาที
4. หลังจากครบเวลาก็ล้างตัวออกด้วยน้ำสะอาด เช็ดผิวให้แห้งแล้วลงด้วยโลชั่นบำรุงผิวที่เข้มข้ม
5. สูตรขัดผิวด้วยมะขามเปียกนี้ควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
ที่มา :  http://www.n3k.in.th/